วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Presentation tips ตอนที่ 1 การเตรียมสิ่งต่างๆเพื่อความพร้อมในการพรีเซนท์

การพรีเซนท์ คืองานสำคัญที่ขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบัน และ มีผลอย่างมากในการดำเนินกิจการขององค์กร เพราะการพรีเซนท์นั้น ถือเป็นการสร้างความเข้าใจที่ตรงกันขององค์กร ลูกค้า พาร์ทเนอร์ต่างๆ เพื่อที่จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น

แต่การพรีเซนท์นั้น มีข้อที่ยากอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การสื่อสารให้เข้าใจ การทำให้การพรีเซนท์นั้นน่าสนใจ ไม่ทำให้น่าเบื่อ หรือ การตื่นเต้นระหว่างก่อน หรือ ระหว่างการพรีเซนท์

วันนี้ผมเลยมาบอกเคล็ดลับของ การเตรียมพรีเซนท์ จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา และความรู้จากหลายๆแขนงที่ผมผ่านมา ที่คิดว่าน่าจะช่วยคนที่กำลังมองหา วิธีการเตรียมการพรีเซนท์ได้พอสมควรครับ

เพราะการเตรียมตัวที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่งครับ

การเตรียมตัวจะเริ่มต้นเป็นขั้นตอน ดังนี้ครับ

1. รู้จัก (Know): ก่อนอื่นเลยคุณต้อง "รู้จัก" ก่อนครับ เพราะการพรีเซนท์เองก็เหมือนกับ การรบ หรือ เหมือนกับการตลาด ที่คุณจะต้องรู้จักว่า ลูกค้าที่ฟังคุณคือใคร เราต้องการจะสื่อสารอะไรออกไป และ เรามีเวลา หรือ ทรัพยากรอื่นๆ อะไรบ้าง

Know your style: การพรีเซนท์ที่ดี (และง่าย) คือการพรีเซนท์แบบเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเราไปฝืนธรรมชาติ สิ่งที่จะเกิดขึ้นบนเวทีก็คือ ลืมสิ่งที่จะพูด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ฯลฯ ซึ่งสไตล์การพูดของแต่ละคน ก็จะมีแตกต่างกันออกไป วิธีง่ายๆที่จะหาสไตล์ของตัวเองคือ ยืนอยู่หน้ากระจก แล้วลองพูดหัวข้อซักหัวข้อหนึ่งครับ เราก็จะรู้เองว่า เราเหมาะกับการพรีเซนท์ สไตล์ไหน แล้วลองฝึกสไตล์ที่เราถนัดให้ได้ดีที่สุด

Know your audience: การรู้จักคนฟัง ไม่ได้หมายถึง คนฟังเป็นคนที่เรารู้จักนะครับ (ฮา) แต่หมายถึงว่า เรารู้ว่า คนฟังนั้น เป็นคนประเภทไหน มีพื้นฐานความเข้าใจเป็นมาอย่างไร (เช่น มีความรู้ด้านเทคโนโลยี แต่ไม่มีความรู้ด้าน Marketing) ถ้าเรารู้จักคนฟัง เราก็จะสามารถมองต่อไปได้ว่า คนฟัง เขาอยากฟังอะไรจากเรา และ เราควรจะทำอย่างไรให้เขาฟังเราแล้วเข้าใจ แต่คำถามก็จะมีมาว่า อ้าว แล้วถ้าคนฟังมีหลากหลายจะทำอย่างไร คำตอบของผมจะมีอยู่ 3 แบบ ครับคือ

1. ทำเพื่อเสนอคนฟังที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น (เช่น CEO หรือ กรรมการบริหาร หรือ ประธานกรรมการตัดสินรายการเกมกลยุทธ์ (ฮา))
2. ทำเสนอคนส่วนมาก ว่าในจำนวนผู้ฟังทั้งหมด คนประเภทไหนที่เป็นคนหมู่มาก (Majority)
3. นำเสนอตาม Objective ของการพรีเซนท์ในครั้งนั้น (เช่น พูดเรื่อง Research ข้อมูลจะให้มีแต่รูปภาพก็คงไม่ใช่ คงต้องลงรายละเอียดหลายๆอย่าง)

Know your contents: รู้จักสิ่งที่คุณกำลังจะพูด สิ่งที่คุณต้องการจะสื่อสาร และ สิ่งที่คนฟังควรจะได้รับ

Know your time and devices
: รู้ว่าคุณมีเวลาเท่าไหร่ในการพรีเซนท์ และ รู้ว่าคุณมีอุปกรณ์อะไรเพื่อช่วยการพรีเซนท์บ้าง เพื่อการเตรียมการในส่วนต่อๆไป

2. เตรียม (Prepare): การเตรียมการหลักๆนั้น ในการ Present แต่ละครั้ง จะต้องมีการเตรียมสิ่งต่างๆ ดังนี้ครับ

Prepare your content and data: เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะพูดให้ได้มากที่สุดครับ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่ต้องการจะพูด สถิติ ตัวเลข ข้อมูล พฤติกรรม ฯลฯ ยิ่งมีเยอะก็จะยิ่งทำให้การ Present ของคุณแน่นยิ่งขึ้นครับ โดยในการเตรียมข้อมูลของคุณนั้น ถ้าคุณมีเวลาจำกัด คุณคงไม่สามารถยัดทุกๆสิ่งที่คุณมีอยู่ลงไปได้ ดังนั้นคุณจะต้องทำการ ลำดับความสำคัญของข้อมูลว่า ข้อมูลใดคือ "Key Message" และ ข้อมูลใดคือ "Additional information" แล้วจัดเรียงเนื้อเรื่อง และ เรื่องราว รวมถึงขั้นตอนสรุป ตามแต่ถนัดครับ

โดยผมมี Tip เล็กๆน้อยๆดังนี้ครับ

"คนฟังจะจดจำได้มากที่สุดคือ 2-3 Slide แรก และ Slide สุดท้าย" ฉะนั้น เอาข้อมูลสำคัญ ไว้แถวๆนั้นนะครับ

Prepare your presentation slides: ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่หลายๆคนมีปัญหาค่อนข้างมาก เพราะคิดว่าตัวเอง ไม่เก่งด้านคอมพิวเตอร์ ทำ PowerPoint ไม่เก่ง นึกไม่ออกจะพรีเซนท์ยังไง หรือ ทำ Animation ไม่เป็น เลยคิดว่า คงทำ Presentation กันไม่ได้

งั้นลองดู Presentation ชุดนี้ครับ



Presentation นี้มีชื่อว่า Meet Henry - Slide ชุดแรกที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมเป็นอย่างมาก และ ชนะเลิศ Best Presentation Contest ด้วยนะครับ

อีกอันหนึ่งครับ



Presentation นี้มีชื่อว่า Thirst - ชนะเลิศ Best Presentation Contest เหมือนกันครับ (แต่คนละปี)

สังเกตหรือไม่ครับว่า Presentation Slides ทั้ง 2 ชุดนี้ ไม่มี Animation วิ่งไปมา ไม่มีกราฟที่ดูหรูหรา

แต่ Presentation Slides ทั้ง 2 ชุดนี้นั้น ใช้แค่ 2 อย่างครับ ตัวอักษร กับรูปภาพ ก็สามารถ สื่อสารให้ทุกคน เข้าใจได้ โดยไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ซึ่งถ้าคุณขยันหารูปภาพซักหน่อย ก็ทำได้แล้วครับ ที่เหลือก็แค่ ใส่ข้อมูลที่เราเตรียมไว้แล้วเข้าไป

ซึ่ง Presentation Slide ที่ดีที่สุด คือ Presentation Slide ที่ไม่ต้องมีคนพูดก็เข้าใจได้ครับ

อ้าว คงสงสัยใช่ไหมครับว่า ถ้างั้นแล้วจะมีคนพูดไปทำไม คำตอบคือ คนพูดคือคนที่ทำให้ พรีเซนท์เทชั่นนั้น "สมบูรณ์แบบ" มากขึ้นครับ เพราะ การให้ผู้ฟัง ได้ดูด้วยตา ฟังเสียง คิดตาม และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสต่างๆ จะสามารถทำให้ผู้ฟัง จดจำสิ่งที่เราต้องการจะนำเสนอได้มากขึ้นครับ ฉะนั้นสิ่งที่ผู้พูดจะสามารถทำได้คือ การพูด เน้นย้ำในส่วนสำคัญ หรือ พูดเสริมในส่วนที่นอกเหนือจาก Slide และพยายามสร้างสีสัน และ involvement กับผู้ฟังด้วยครับ


(ยังมี Presentation ดีๆอีกมากมายที่เวบนี้ครับ Slideshare.net )

จริงๆ ในส่วนการเตรียม Presentation ยังมีรายละเอียดและ เทคนิคอีกมากมาย เดี๋ยวเอาไว้คราวต่อๆไปแล้วกันครับ

Prepare your script: เตรียม Script ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล เพราะอย่างผม จะไม่ชอบเขียน Script แล้วท่องขึ้นไป แต่ผมจะชอบที่จะ เตรียมการพูดในแต่ละ slide ว่า ใน Slide นั้นๆ มี Key point คืออะไรบ้าง แล้วลองซ้อมดูความถูกต้อง เหมาะสมของการเล่าเรื่อง

แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบผมนะครับ เพราะผมเองก็เคยท่อง Script แล้วขึ้น Present มาแล้ว รวมถึง ผมมีเพื่อนที่ถนัดการท่อง Script ก่อนขึ้น Present และ ทำไดดีมากด้วยครับ

Prepare your backup slides: ข้อมูลอื่นๆ ที่คุณหามาแล้วนั้น จะเอาไปไว้ใน Slide เวลาก็คงไม่พอ ก็จับเอามาไว้ที่นี่เลยครับ Backup Slides เพื่อไว้ช่วยในการตอบคำถามต่างๆ ที่คุณคิดว่าน่าจะเจอ อันนี้ไม่ต้องสวยครับ เน้นข้อมูล ฉะนั้น กราฟ บทความ และอื่นๆ ใส่เข้าไปได้เลยครับ (ถ้าคุณใช้ Powerpoint จะมีเทคนิคในการจัดเรียง Backup Slide และ เปิด slide อย่างรวดเร็วด้วยครับ แต่เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีเดียวในหัวข้อการเตรียม Presentation Slide แบบเจาะลึกนะครับ)

Prepare your devices: หลายคนชอบคิดว่า การพรีเซนท์นั้น ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรก็ได้ แค่โน๊ตบุ๊คตัวเดียว Projector ตัวเดียวก็พอ แต่จริงๆ แล้ว การพรีเซนท์ที่ดี ควรจะมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพื่อให้การพรีเซนท์ของคุณนั้น เป็นอิสระจากการต้องเดินไปกดเพื่อเปลี่ยน slide เพราะการเดินไปเดินมานั้น สร้างความรำคาญให้ผู้ฟังได้ครับ ฉะนั้นลองมองหา Presentation Remote เพื่อเปลี่ยน Slide สำหรับ PC หรือ ถ้าคุณใช้ MAC และมี iPhone หรือ iPod Touch ลองใช้ Keynote Remote ดูสิครับ (นอกจากความสะดวกในการพรีเซนท์แล้ว คุณก็ยังจะได้ความเท่ ในการพรีเซนท์ด้วยครับ)

สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด

3. ซ้อม ฝึกฝน และ ชำนาญ (Practice Practice and Pro!): ซ้อมๆๆๆๆๆๆๆๆ และ ฝึกให้ชำนาญที่สุด สำหรับการ พรีเซนท์ในแต่ละครั้ง คุณก็จะพรีเซนท์ได้ดี แน่นอนครับ (แนะนำให้ฝึกซ้อมกับกระจก)

ในคราวต่อไป ผมจะมาต่อกับหัวข้อ การเตรียมตัวก่อนพรีเซนท์ เพื่อลดความประหม่า หรือความกดดัน และ การพรีเซนท์ที่จะทำให้ผู้ฟังอยู่กับเรา ไม่หลับไปซะก่อน

ปล. เหมือนเช่นเคยครับ ติชม comment ได้ตามสะดวกครับ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เขียนหัวข้อต่อๆไป :)
ปล2. กูรูทั้งหลาย จะขัดแย้ง หรือไม่เห็นด้วย หรือจะเสริมอะไร ก็ตามสะดวกครับ จะได้ช่วยผมในการพัฒนาต่อไป

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Presentation หรือ Communication Skill, Skill ที่ขาดไม่ได้ในธุรกิจ

ความสำคัญของ Presentation หรือ Communication Skill

หลายคนคงเคยคิดว่า หรือ เคยเจอว่า คนหนึ่งทำงานแทบตาย ทำงานหนักมากๆ แต่ไหง คนที่ดูไม่ทำงานอะไรเลย หรือ ทำงานบ้างแต่เก่ง พรีเซนท์ มักจะก้าวหน้าไปได้ไกลกว่าชาวบ้านเสมอ

อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ ถ้ามองในมุมมองด้านการตลาด ก็แปลว่า ส่วนที่เขามี เขามีส่วน Communication ที่เหนือกว่าคนที่ทำงานหนัก

Communication นี่สำคัญนะครับ เพราะเป็นส่วนที่สร้าง ให้คนเขารู้ว่า เรามีอะไร เราทำอะไรได้ และ มีคุณค่าอะไรกับเขาบ้าง

ทำงานหนักแทบตาย แต่หัวหน้าไม่เห็น ก็เหมือนกับคุณไม่ได้ทำงานอะไรเลยนะครับ


ที่ยกตัวอย่างเรื่องนี้ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ พอดีวันนี้ (วันที่ 19 ตุลาคม 2009) ได้มีโอกาส ไปนั่งฟัง การนำเสนอของน้องๆ Osotspa Talent Camp 2009 โดยน้องๆทั้ง 39 คน 5 กลุ่ม ได้รับโจทย์ให้นำเสนอ เรื่อง แผนการตลาดของ Brand U-Tip

สิ่งที่น่าสนใจมันเกิดขึ้นตรงนี้ครับ ทีมที่ 3 ผมเองมองว่า ทีมนี้มีไอเดียที่ดีระดับหนึ่ง และมีการนำเสนอที่ดีที่สุดในกลุ่มทั้งหมด 5 กลุ่ม เพราะมีการร้อยเรียงเรื่องราว ตั้งแต่การเปิดตัวที่ดูน่าสนใจ การนำเสนอที่มีขั้นตอนตั้งแต่การวิเคราะห์ไปจนถึงการวิธี execution และการสรุปในขั้นตอนสุดท้าย จนผมรู้สึกเลยว่า ทีมนี้น่าจะชนะหลังจากฟังจบ

แต่เมื่อมานั่งฟังทีมที่ 4 เมื่อฟังจนจบ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า ทีมที่ 3 จะชนะจริงหรือไม่ เพราะ ทีม ที่ 4 มีไอเดียที่ดีกว่าทีมที่ 3 ไม่ว่าจะเป็น ไอเดียเรื่องสินค้า ที่สามารถสร้าง unique identity ให้กับ user การสร้าง ambiance marketing แบบที่ค่อนข้างจะน่าตื่นตาตื่นใจกว่าทีมที่ 3 รวมถึง communication message ที่ชัดเจน และ สามารถสร้างความน่าสนใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นเด็กสาวอายุประมาณ 13-18 ปีได้เป็นอย่างดี

แม้แต่ แคนดี้ (ผู้ชนะเลิศเกมกลยุทธ์ปี 1) เองก็ยังบอกผมก่อนที่ทีมที่ 4 จะเริ่มเลยครับว่า ทีมนี้เนี่ย creative สุดยอด (เพราะ แคนดี้เองเป็นพี่เลี้ยงน้องๆในการเข้า camp ในครั้งนี้ครับ)

คงสงสัยใช่ไหมครับว่า เอ๊ะ ทีม 4 ดูไอเดียกระฉูดสุดยอดขนาดนี้ ไหงผมถึงไม่ฟันธงลงไปตั้งแต่แรกว่า ทีม 4 น่าจะชนะ

เป็นเพราะทีมที่ 4 นั้นขาดการ deliver presentation ที่ดีครับ ไม่ว่าจะเป็น visual จากการพรีเซนท์, process การพรีเซนท์, การสร้าง เรียงร้อยเรื่องราวในการ present รวมไปถึง วิธีการอธิบายจุดสำคัญๆในพรีเซนท์ ที่ยังไม่สามารถใส่ประเด็นสำคัญๆให้กรรมการเข้าใจได้

และผลลัพธ์ ก็ยิ่งตอกย้ำสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นคือ

ทีมที่ 3 ได้ชนะเลิศ ส่วนทีมที่ 4 ได้รางวัลชมเชย (แพ้ทีมที่ 2 ที่พรีเซนต์ได้ดีกว่า ถึงไอเดียจะสู้ไม่ได้) แต่ก็ต้องขอชมน้องๆทุกทีมนะครับ เพราะได้ยินมาว่า มีเวลาเตรียมตัวแค่ 1 คืนเท่านั้นเองเพื่อแก้ไข present ที่ ทีมกรรมการ (ผู้บริหาร รวมแคนดี้ และ ผม) ช่วย comment ไปเมื่อวันเสาร์ 17/10/2009)

ผลลัพธ์นี้บอกอะไรเราครับ?

"สินค้าดีแค่ไหนถ้าลูกค้าไม่เข้าใจ value ที่มีกับตัวเขา
ลูกค้าก็จะไปซื้อสินค้าที่เขาเข้าใจ value ที่มีสำหรับตัวเขา ถึงสินค้านั้นจะมีคุณภาพด้อยกว่า"


เช่นเดียวกับการประเมินผลการทำงาน และการตีคุณค่าของคนครับ

คราวหน้าผมจะมาบอก tip ที่ผมใช้ในการ present หรือ communicate ให้อ่านกันต่อนะครับ

ปล. แต่อย่าคิดนะครับว่า แหม งั้นเราก็ไม่ต้องไปพัฒนาอะไรมากก็ได้ ขอให้เก่ง present อย่างเดียวก็พอ เพราะ "สินค้า ที่ดี ถึงขาด communication ที่ดี ก็อาจจะประสบความสำเร็จ (เพราะ viral) แต่สินค้าที่ไม่ดี ต่อให้มี communication ดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ" :)

ปล2. เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไร ติชม คอมเมนต์กันได้ครับ จะได้ปรับปรุง ขอบคุณครับ ;)

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ 3: ผลิตภัณฑ์ใหม่ มัดใจคนจีน

ทิ้งช่วงอีกแล้วครับ กับการอัพเดท เรื่องราวในเกมกลยุทธ์ ปี 2 เนื่องจาก ลาไปอุปสมบท มาร่วมครึ่งเดือนครับ ก็เลย ทิ้งช่วงไปซะนานเลยทีเดียว กว่าจะเคลียร์อะไรหลายๆอย่างจนพอจะมีเวลามาอัพเดท เทป 3 เทปแห่งความพ่ายแพ้เทปแรก ในเกมกลยุทธ์ ของผม

จริงๆแล้ว สำหรับผม ในเทปนี้ ตัวการตัดต่อเอง การเล่าเรื่องเอง เล่าเรื่องหลักๆ ได้มาเกือบสมบูรณ์เลยทีเดียว ก็เลยจะเหลือส่วนที่ผมคิดว่า น่าจะช่วยเติมเต็มในมุมมองของผม ได้มากขึ้นนะครับ

1. การคัดเลือกแบ่งทีมใหม่ 

จากในเทปก็คงเห็นว่า มีการจัดทีมใหม่เพื่อให้สมดุลของรายการมันเป็นไปอย่างเหมาะสม ทางรายการ เลยให้ ฝน (ผู้นำทีมชนะ) กับ จุ๋ม (ผู้ติด โปรเบชั่นจากเทป 2)  โดยในการเลือกทีม อันดับก็เป็นไปตามที่เห็นในเทป ซึ่ง ฝน เลือก ผม กับพี่ติก ส่วน จุ๋ม เลือก ดิว กับนุ้ย และเนื่องจากเลือกทีมเดิม ได้เพียงแค่ 2 คน ก็เลยทำให้การเลือกทีม จบอยู่แค่นั้น ฝ้าย กับลูกตาล จึงมาอยู่ในทีมของเรา

2. จุดบอดระหว่างทำงาน 

การทำงานก็ราบรื่นไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากมาย แต่ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นคือทีมแพ้ ก็เลยคงต้องมาหาจุดบอด หรือ จุดบกพร่อง ตามมุมมองที่ผมมองหลังจากเกมจบลงไป เอาล่ะครับ มีดังนี้

2.1. ขาดการวางแผนในรายละเอีย ข้อนี้ชัดเจนครับ การทำงาน มีผม กับพี่ติก ช่วยกันดูเรื่องภาพใหญ่ คอนเซป โดยอาศัยความเห็นของทีมมาเพื่อตบๆให้เข้าที่ พี่ติกก็ยังคง แสดงความสามารถด้านการสร้างสรรค์ได้อย่างเหนือชั้นเหมือนเดิม แต่ทว่า เมื่อคอนเซปของสินค้าออกมาแล้วนั้น (หลังจากการทำ in-dept กับคนรู้จักของผมที่เป็นคนจีน) ทีมกลับสะดุดไปดื้อๆ เรื่องการหาข้อมูลด้าน Research ความผิดส่วนหนึ่งก็มาจากผมเอง เพราะนอกจากเรื่อง online survey ที่ผมทำขึ้นแล้วนั้น ทางทีมก็ขาดความต่อเนื่อง เรื่องการหาข้อมูลว่า ควรจะไปหาข้อมูลที่ไหนอีก เพื่อทดสอบสินค้าว่า จะดีจริงหรือไม่ ซึ่งตัวผมเอง น่าจะมีประสบการณ์ด้าน reseach เยอะที่สุดในทีม แต่กลับไม่สามารถ กำหนดแผนการที่ชัดเจนกว่าว่า เอาล่ะ เราไปเก็บข้อมูลกับคนจีนกัน แล้วไปที่ไหน ไปยังไง ใช้อะไรถาม เมื่อไหร่ กลับไม่ออกมาชัดเจน ทำให้ทีมเป๋ไปในเรื่องนี้ (โดยที่อีกทีมหนึ่งมีการไป ทำ Taste Test กับ consumer จริง)

นอกจากนั้นแล้ว เช่นกันครับ เรื่อง Package เราไม่มี precise instruction ให้กับ Graphic design นอกจากคำว่า สีแดง มงคล สีทอง เลข 8 ทำให้ไม่ได้ออกมาแบบที่ควรจะเป็น 

2.2. In love with product อันนี้ผมขอโยนความผิดทั้งหมดให้ผมคนเดียว เนื่องจากตัวเองเป็นผู้ที่ควรจะรู้เรื่อง Basic ที่ควรจะเป็นอยู่ว่า การสื่อสารการตลาดให้ง่ายที่สุด คือ การ Focus product benefits ให้เข้ากับ need ของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด แต่ปาลี่อี้ ของทีมนั้น มีคุณสมบัติ 8 ประการ นอกจากนั้นก็ยังไม่สามารถ ให้คำนิยามสั้นๆ ที่ชัดเจนได้เหมือนอีกทีม ที่เน้นการ สร้าง และ เสริม สมองของเด็ก สิ่งนี้สำคัญมากครับ เพราะถ้าคุณอธิบายสั้นๆให้ลูกค้าเข้าใจไม่ได้ ลูกค้าจะซื้อของคุณได้อย่างไร

ผมเอง หลงรักในตัวสินค้าจนเกินไปครับ คิดว่า โอ้ยอันนี้แหละดีที่สุดแล้ว โอ้ยอันนี้แหละ คนจีนชอบชัวร์ แต่กลับลืมคำสอนของ Rob Adam ว่า "Don't in love with your product" เป็นกฎของ Entrepreneur ที่ผู้ที่ต้องการตั้งบริษัทใหม่ๆ ควรจะจำไว้ครับมีความเชื่อในสินค้าได้ มีศรัทธาในสินค้าได้ มี Passion กับสินค้าได้ แต่ห้าม in love เด็ดขาด เพราะความรักทำให้คนตาบอดครับ

3. การ debates

ส่วนนี้เป็นส่วนที่ผมค่อนข้างชอบมากเลยครับ แต่เพียงแต่ว่า ไม่ได้ออกอากาศ นั่นก็คือการ debate ระหว่าง ผู้สร้าง PEPTEiN Kids Plus กับ ปาลี่อี้ ว่า สินค้าของใคร น่าจะเข้าคลาดจีนได้ง่ายกว่ากัน โดยมี ท่าน ดร. สุมาส เป็น modulator ผมจำข้อมูลทั้งหมดไม่ได้ แต่น่าจะพอรวบรวมจุดเด่นของแต่ละทีมที่จำได้ให้ดูครับ

PEPTEiN Kids Plus

-1 child policy 6 คนในครอบครัว สนใจพัฒนาการของเด็กเพียงคนเดียว

-ง่ายต่อการเข้าตลาด ความเสี่ยงต่ำ เพราะ extend จากสิ่งที่โอสถสภามีอยู่แล้ว

ปาลี่อี้

-คนหาเงินมีคนเดียวในครอบครัว ห่วงใยสุขภาพตัวเอง

-คนจีนชอบสีแดง เลข 8

การตัดสินก็เป็นไปอย่างที่เห็นในเทป คือ ทางฝั่ง Market test ทางทีมแพ้ค่อนข้างเยอะ (9 คะแนน) ก็เลยต้องหาผู้ที่ต้องออกจากการแข่งขันครับ

4.การโหวต สำหรับทีมแพ้ 

ก็เป็นครั้งแรกของทั้ง ผม และ พี่ติกนะครับที่ได้เข้ามาในห้องโหวตออก เพื่อคัดคนออกจากการแข่งขัน

ทางรายการก็ Surprise พอสมควรครับ แทนที่จะให้เืลือก โหวตคนออก แต่กลับให้เลือกโหวต คนเข้า 2 คน ทีนี้ ที่ผมคิดมา (เผื่อแพ้) ว่าจะโหวตใครออก อย่างแน่นอน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นคิดเร็วกว่าเดิม

ยอมรับตามตรงครับ ผมคิดว่า ผมโหวตเข้า อย่างผิดพลาด เพราะคนที่ผมโหวตเข้าคือ น้ำฝน กับ พี่ติก 

พี่ติกนี่ลอยลำครับ แต่ ระหว่าง น้ำฝน กับ ลูกตาล ผมเลือกน้ำฝนเพราะผมทำงานเข้าขากับฝนมากกว่า และ ฝนสามารถเติมเต็มส่วนที่ผมขาดได้มากกว่า

แต่ทั้งที่จริงๆแล้ว ในมุมมองของผม ลูกตาล ดูจะมีผลงานมากกว่า ฝน นิดหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้เลือกคนที่ผลงาน กลับไปเลือกเพราะ ความสามารถของฝนมากกว่า

ก็เลยทำให้ลูกตาล กับฝ้าย ต้องเข้าไปอยู่ในห้องเถียงกันเพื่อเข้ารอบ รายละเอียดก็มีอยู่แล้วใน เทป ไม่พูดเพิ่มเติมนะครับ

สำหรับเทป 3 ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ แบบ แพ้จริงๆนั่นแหละ เจอกัน เทป 4 ในเร็วๆนี้ครับ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ภารกิจที่ 2: 4P's in เชียงใหม่

สวัสดีครับ หลังจากหมดภารกิจต่างๆทั้ง 8 ภารกิจไปแล้ว ก็ได้เวลามานั่งอัพเดท มุมมองในฐานะผู้เข้าแข่งขันของผม กับ รายการ เกมกลยุทธ์ ปี 2 ในภารกิจที่ 2 กันเสียที

โดยภารกิจคร่าวๆก็คือ การไปตั้ง บูทจำหน่ายสินค้าที่ ถนนคนเดิน (ท่าแพ) จังหวัดเชียงใหม่ โดยสินค้าที่ ต้องนำไปขายคือ Baby Mild, Exit และ 12Plus  โดยใช้กลยุทธ์ 4P's

ผมคงจะไม่เล่ารายละเอียด ที่มีอยู่แล้ว บนเทป ทีฉายในทีวีนะครับ เพราะมันจะถือเป็นการซ้ำซ้อนจนเกินไป จะพยายามเน้นในส่วนที่ไม่มีในเทป ผ่านมุมมองของผมนะครับ

เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่า เริ่มต้นที่การสลับขั้วหัวหน้า ซึ่งฝนจากทีมหญิง เป็นผู้ได้รับ jackpot ต้องย้ายมาอยู่ในทีมชายหนุ่มรูปงาม (อิอิ) ที่เหลืออยู่ 4 คน โดยตัวผมเอง กำลังมี passion ว่า จะต้องชนะเนื่องจาก ต้องการพิสูจน์ว่า ทีมชายคือทีมที่ชนะในภารกิจแรก 

เอาล่ะ พูดกันตามตรง ในตอนนั้น เสียดิวไป ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน แถมไม่รู้ว่า อีท่าไหนน้ำฝนถึงได้โดนโหวตออก ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่สิ่งแรกที่น้ำฝนทำ หลังจากกลับเข้ามาที่ห้องของทีม ก็คือ ถามครับว่า ใครถนัดอะไร จะได้แบ่งงานถูก เออ แฮะ ตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องเกรงใจด้วย เลยรู้สึกว่า น่าจะทำงานเข้ากันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

อีกทั้ง ทีมผมค่อนข้างโชคดีเลยล่ะครับ เพราะฝนเอง จะต้องกลับไปที่ เชียงใหม่อยู่แล้ว (รับภารกิจวันจันทร์ ปฏิบัติภารกิจจริง วันอาทิตย์) เพราะฉะนั้น เลยทำให้เรา มีหน่วยภาคสนาม มาช่วยเตรียมงาน 

เอาล่ะ ทีนี้มาดูโจทย์ในส่วนที่ทางรายการไม่ได้ตัดออกมากันดีกว่าว่า ใช้อะไรเป็นการตัดสินบ้าง การตัดสินถูกแบ่งออกเป็น 50-50 โดย 50 คะแนนแรก มาจากคะแนนแผนกลยุทธ์ (โดยยึดหลัก 4P) เน้นที่ Brand Penetration และ Brand Coverage กับ 50 คะแนนหลัง มาจากคะแนน ผลประกอบการ โดย แบ่งเป็น ยอดขาย 70% และ กำไร 30%

ตัวผมเอง ก็ค่อนข้าง "งง" ครับ ไม่รู้จักเลยว่า Brand Penetration กับ Brand Coverage คืออะไร แต่ตัวแรกพอเดาออกคือ ขายให้ได้เยอะเพื่อให้ brand นั้น ไปกินส่วนแบ่งการตลาด (เหมือน Market Penetration) แต่ Brand Coverage นี่ ทางทีมคิดว่า น่าจะเป็นการเลือก SKU ของสินค้าให้หลากหลาย แต่ผมดันไปคิดว่า Coverage น่าจะหมายถึงความกว้างในการกระจาย Brand ของเรา (ซึ่งผมคิดผิด ฮ่าๆ)

เมื่อได้รับรู้โจทย์ทั้งหมดมาแล้ว ทางทีมก็ได้ตกลงกันว่า เราจะมีการไปทำการบ้านกันก่อนว่า ถนนคนเดิน เป็นอะไร ยังไง มีอะไรที่ไหน ขายอะไร บ้าง

สืบทราบมาดังนี้ครับ:

ข้อมูลทั่วไป

คนเดินต่ออาทิตย์ 50,000 คน
จำนวนร้านค้า 3,000 ร้าน

คนท้องที่ หรือ จังหวัดใกล้เคียง 50%
คนท่องเที่ยว 30%
ต่างชาติ 20%

Element:
ถนนคนเดินสินค้าพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ล้านนา
ท้องถิ่น พื้นเมือง
ของฝาก ของกิน เครื่องเงิน
ศิลปิน จิตรกรรม ดนตรี รูปวาด วาดรูปเหมือน
เมื่อยขา ร้อน เหงื่อออก

อันนี้ส่วนตัวนะครับ ส่วนตัว ในตอนแรก ผมเองมองไม่ออกจริงๆครับว่า เอ๊ะ ไอ้สินค้าทั้งหลายเนี่ย (โรลออน แป้ง สเปรย์) มันจะไปขายที่ถนนคนเดินได้ยังไง แทบจะไม่เกี่ยวเลย ถนนคนเดิน เน้น ของพื้นเมือง ของถูก ของกิน เครื่องเงิน คิดเลยครับว่า ภารกิจนี้ ยากไม่ใช่เล่น

กลับมารอบแรก เราประชุมทีมกันผ่าน MSN กัน 2 วันครับ เป็นการประชุมที่ดีเยี่ยมทีเดียว โดย พี่ติก ดีเจ บู๋ และ ผม เป็นผู้โยนความคิดมากมายเข้าสู่กลุ่ม ส่วนฝน ไม่ได้เน้นโยนความคิด แต่เน้นเป็นคนสรุป จับประเด็น ขับเคลื่อน และ ควบคุม ให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น

และ พี่ติก (สุดเทพ) ก็ได้ออก Key campaign ออกมา ช่วยให้ทีมสามารถ ทำงานโดยมีแกนไอเดียง่ายขึ้น นั่นก็คือ มาพร้อมกับ campaign ที่ว่า ม่วนใจ๋ ฮ้อมหอม ถู้กถูก

ม่วนใจ๋ = สนุก, รู้สึกดี คนเดินถนนคนเดิน มาเพื่อความสนุกในการจับจ่าย, สินค้าทั้ง 3 เป็นสินค้าที่ใช้แล้วรู้สึกม่วน

ฮ้อมหอม = หอม คือ ประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 3  brand ที่มีเหมือนกัน

ทู้กถูก = จุดสำคัญของถนนคนเดิน

ได้ยินครั้งแรก โอ้โห โดนครับโดน เลยทำให้งานและไอเดียต่างๆง่ายขึ้น  เอาล่ะ ได้ไอเดียแล้ว มาดู แกน 4P's ที่เราคิดกันมาไหมครับ

Product เน้นสินค้าที่ เพิ่มมูลค่า โดยขายพร้อมกับสินค้าพื้นเมือง เช่น กระเป๋าใบเล็กๆ, เน้นสินค้าที่กำลังโปรโมทอยู่, เน้นสินค้าเพื่อเข้ากับ theme สงกรานต์, และสินค้าเกี่ยวกับปัญหาที่ลูกค้าจะต้องเจอในถนนคนเดิน เช่น หน้ามัน (โฟมล้างหน้า)  โดยสินค้า เลือกมาเยอะมากครับ เน้นใช้การโหวตด้วยเหตุผลของแต่ละคนในทีม เพื่อเลือก SKU สินค้าที่ทางทีมต้องการนำมาจำหน่าย โดยเลือกมาร่วม 25,000 บาทเลยทีเดียว

Price แน่นอนครับ ถูก ถูก ถูก แต่ถูกอย่างเดียว ได้ที่ไหน ต้องถูกกันอย่างมีชั้นเชิง ฉะนั้น เราเลยต้องมีการศึกษาราคาตามสถานที่ต่างๆ เช่น โลตัส ท๊อปส์ คาร์ฟูร์ ครับว่า สินค้าตัวไหน ราคาเท่าไหร่ แล้วดูตั้งราคาตามความเหมาะสม โดย มีการตั้งราคาแบบราคาหน้าร้าน และ ราคาตามจังหวะเวลา นาทีทอง ของดีเจ (ราคาถูกแบ่งเป็น B2B และ B2C ด้วยครับ margin บางๆ แต่เน้นยอดขาย) 

Place ร้านค้าทุกร้านนะครับ สิ่งสำคัญ 3 สิ่งแรกในการตั้งร้านค้าคือ Location Location Location ทีมมีความเห็นคล้อยตามหัวหน้าทีมครับว่า แยกไหน คนเยอะ เอาแยกนั้นแหละ

นอกจากนั้นแล้ว ภารกิจเริ่มตั้งแต่ 15.00 แต่ถนนคนเดินปิดไม่ให้รถเข้า ก็เกือบ 17.00 ก็เลยงงๆว่า อ้าว ตั้งบูธไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ แล้วจะเอาเวลานั้นไปทำอะไร เราก็เลยคิดแผนกันครับว่า ช่วงเวลานั้น จะหาลูกค้าที่เป็นร้านค้าแถวนั้น เข้ามาซื้อของกับเรา เนื่องจาก ฝนไปสืบทราบมาว่า ร้านค้าส่วนใหญ่ไปซื้อของผ่าน Makro และ ราคาของ Makro ก็ไม่ได้ถูกไปกว่าราคาทุนของเรา ทำให้เราสามารถขายในราคาใกล้เคียงกับ Makro ได้ ซึ่งถ้าสามารถ convince ให้ทางร้านค้านั้น วิ่งเข้ามาซื้อของในบริเวณ บูธของเรา ก็จะถือว่า ไม่ผิดกฎแต่อย่างใด (กฎแบบเป๊ะๆคือ : กำหนดให้กิจกรรมการขายเกิดขึ้นได้เฉพาะที่ร้านเท่านั้น) 

ในช่องทางการขายเองก็มีรายละเอียด ยิบย่อยลงไปอีกครับว่า ในบูธ จะถูกแบ่งโซนออกเป็น 3 โซนในตอนแรก คือ 1 โซนเกม 2 โซนขายหน้าร้าน ขายโดย pretty ที่จ้างมา ขอบคุณหมูปิ้งอีกครั้งครับ (น่ารักดี อิอิ) 3 โซนนาทีทอง และ กิจกรรมการแสดง

Communication อันนี้งานถนัดพี่ติก ไอเดีย พร่างพรูมากมาย แต่แกนหลักคือ เน้นให้คนมาที่บูธ และ สร้าง Brand Penetration วิธีหลักๆ มีดังนี้ครับ

ส่ง Brand Ambassdor ออกไป ใส่หน้ากาก มาริโอ้ ซีวอน แล้วเดินแจกซองจดหมายสีชมพู พร้อม โบรชัวร์

วางป้ายตามร้านน้ำ ใส่ message ว่า "ร้อนนัก พักตรงนี้ 12 พลัส ทุกชิ้น ลดสูงสุด 50% ที่ บูธม่วนใจ๋"

นอกจากนั้นยังมีการสร้าง product tie in ลงไปกับทีมนักเต้นจากโรงเรียนสอนเต้น Dance Zone (ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ) ที่ทางดีเจติดต่อตั้งแต่อยู่กรุงเทพ เพื่อให้มาเต้น โชว์ในงาน เมื่อเต้นเสร็จก็ให้ฉีด exit เพื่อสร้างภาพสินค้า

ภายในบูธ ก็มีการตกแต่ง โดยใช้ อุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ ที่ทาง โอสถสภาจัดมาให้ และ มี LCD TV เพื่อเปิดโฆษณาของทั้ง 3 Brand เืพื่อสร้างบรรยากาศของสินค้าด้วยครับ

อีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างสีสันภายในบูธ คือ การสร้างกิจกรรม เพื่อชิงรางวัลส่วนลด และ voucher รางวัลจากร้านค้าต่างๆ ภายในจังหวัดเชียงใหม่ (เช่นร้านเค้ก ร้านอาหาร)

โดยกิจกรรมการเล่น ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ปากระป๋อง กับ กดเลขส่วนลด

เแผนคร่าวๆ ก่อนไปเชียงใหม่เป็นแบบนี้ แต่ถึงเชียงใหม่จริง แผนก็ยังคงถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ

วันแรกที่เชียงใหม่

เมื่อถึงเชียงใหม่ ทีมก็มีการแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ โดย Leader ฝน ที่ทำหน้าที่ในการแบ่งให้ทีมทำหน้าที่ต่างๆกัน โดย พี่ติก กับ จิ๊บ ทำหน้าที่ถนัด คือ เตรียม present ทางดีเจ และ บู๋ ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเพื่อ ขอ voucher รางวัล และ ติดต่อร้านค้า เพื่อขายของ โดยตัวฝนเองไปเลือกสถานที่อย่างที่เห็นในเทป นอกจากนั้น ผมกับดีเจเอง ก็นั่งคุยกันเรื่องเกี่ยวกับการตั้งราคาในช่วงนาทีทอง

ในระหว่างพรีเซนต์ ก็ พรีเซนต์ตามแผนที่เขียนไว้ในเทปนั่นแหละครับ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปจัดการเรื่อง voucher และ ร้านค้า

นอกจากนั้น ช่วงกลางคืน ทีมเราก็ได้มีการไปเดินสำรวจ ถนนวัวลาย ซึ่งเป็นถนนคนเดินอีกแห่งหนึ่ง เพื่อดู และ เลือกซื้อสินค้า ที่จะนำมาใช้ทำเป็น promotion

หลังจากนั้นก็กลับห้องพักผ่อน เก็บแรงสำหรับวันต่อไป โดยผมคุยกับดีเจ และ บู๋ว่า ผมยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ รู้สึกว่า แผนยังไม่แน่นเท่าที่ควร แต่ตอนนั้น ในทีมยังไม่มีใครคิดอะไรออก

วันแข่งจริง

ทางทีมก็มีการแบ่งงาน ออกเป็นส่วนๆ เหมือนเดิม คือ พี่ติก กับ จิ๊บ จัดการเรื่อง แผนราคา, ของตกแต่งบูธ, หน้ากาก, ซองจดหมาย, โบร์ชัวร์ ฯลฯ ส่วน ฝน ดีเจ บู๋ ทำหน้าที่ต่อเนื่องจากเมื่อวาน คือ  voucher และ ติดต่อร้านค้า โดย บู๋ เอง ติดต่อขอ voucher ได้รวมกันเป็นเงิน น่าจะร่วมๆ หมื่นบาทเลยทีเดียว ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นค่อนข้างมาก

เอาล่ะครับ ถึงเวลาทำงานจริงแล้ว ระหว่างเดินทาง หลังจากมีการวางแบบ บูธคร่าวๆเพื่อทำความเข้าใจสุดท้าย ทำให้เราเล็งเห็นว่า เรายังมีพื้นที่อยู่ส่วนหนึ่งที่หลงเหลืออยู่และไม่ได้ใช้ทำอะไร (เนื่องจากเราอยู่ตรง 4 แยก แต่ใช้แค่ 3 โซน) ทางดีเจเอง เลยเสนอว่า ทำไมไม่แบ่ง สินค้าส่วนหนึ่ง มาขายที่ตรง โซนที่เหลืออยู่ แต่ไม่ได้ขายบนโต๊ะ เหมือนกับ หน้าร้านที่ตั้ง เพื่อแสดงสินค้าพร้อม pretty แต่ เน้นวางบนพื้น วางบนผ้า สินค้าจะไม่ถูกเอามาจัดเรียงความสวยงาม แต่ จะถูกเอามาทั้งๆ ในกล่อง สร้างสภาพความถูก ทำให้เราได้ครบตาม campaign ม่วนใจ๋ ฮ้อมหอม ทู้กถูก แล้วครับ (แน่นขึ้นเยอะ)

เมื่อถึง สถานที่จริง ทีมก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอีกครั้ง คือ พี่ติก บู๋ และ จิ๊บ จัดการเกี่ยวกับการตั้งบูธ ดีเจ และ ฝน ก็ไปทำอย่างที่เห็นกันในเทปคือ เราไม่สามารถ ดึงคนมาเพื่อซื้อสินค้าได้ตามแผนที่ตั้งใจไว้ เราก็เลยต้องไปส่งทางเขาแทน แล้วเก็บเงิน ก็เลยผิดกติกา แต่ไม่เป็นไร ผิดก็ผิด 

หลังจาก ดีเจ กับ ฝน กลับมา ทางทีมก็แบ่งงานกันอีกครั้งหนึ่ง ฝนเป็นคน observe บูธ ในฐานะหัวหน้า และ คนดูแล ฝั่งแบกะดิน พี่ติกดูแล communication คุมทีมเด็กๆไปแจก โบร์ชัวร์ และ วางป้าย บู๋ดูแลโซนเกม และ การแจกรางวัล ดีเจ ผู้จัดการเรื่อง กิจกรรม และ นาทีทอง จิ๊บเป็นผู้รับผิดชอบ หน้าร้านขายบนโต๊ะ

ระหว่างการทำงานก็อย่างที่เห็นในเทปนั่นแหละครับ แต่ผมจะยกสิ่งที่เป็นข้อดี และ สิ่งที่ควรปรับปรุงมาเพื่อเป็นการสรุป สำหรับภารกิจที่ 2 ก็แล้วกันครับ

ข้อดี

1.ทีมทำงานกันได้คล่องแคล่ว เปลี่ยนรายละเอียดกันแทบจะตลอด ยกตัวอย่างง่ายๆคือ บู๋มีการย้ายบูธเกม มาทางข้างหน้าเพื่อทำดึงดูดความสนใจให้มากขึ้น, การเต้นมาบังหน้าร้านขาย เนื่องจาก มีพื้นที่ให้เต้นมากกว่า ผมกับดีเจก็ทำการเปลี่ยนทันที เอาร้านขายไปอยู่อีกฝั่ง แล้วให้พื้นที่กิจกรรมมากขึ้น, 

2. คนช่วยเพียบ แทบจะไม่เหนื่อยเลยครับ วิ่งไปวิ่งมา คิดแผนอย่างเดียว

3. แผนหลักทำงานได้เกือบครบ นอกจากนั้น ก็ปรับแผนได้อย่างดีเยี่ยม

ข้อเสีย

1.การเตรียมอุปกรณ์บางอย่าง ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร คือ ลำโพง และ เครื่องเีสียง ไม่ได้ตรวจสอบก่อนมา ทำให้ระหว่างเต้นแทบจะไม่ได้ยินเสียงดนตรี หรือ การมีอุปกรณ์บางอย่างแต่ไม่ค่อยได้ใช้ เช่น วิทยุสื่อสาร (แหะๆ)

2.เตรียมแผนบางอย่างมา แต่ไม่ได้ใช้ เพราะลืม เช่น ซองชมพู ของ Babi Mild

3. ไม่ได้ต่อยอด การใช้ campaign ให้เต็มที่ ที่เห็นได้ชัดก็เรื่อง สงกรานต์ อย่างที่กรรมการ comment มาน่ะครับ

4. ขาดการวางเวลาที่แน่นอนของกิจกรรม (จริงๆ บู๋เขาวางเวลาคร่าวๆแล้ว แต่ไม่ได้มีใครนำไปใช้ น่าเสียดายครับ) ทำให้บางครั้ง เกิดการโดนดึงความสนใจโดย กิจกรรมเต้น หรือ กิจกรรมนาทีทอง

เอาล่ะ นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่อง ที่มีข้อโต้แย้งมาว่า โดนปรับ 5,000 บาท ทำไมโดนปรับเงิน ไม่ปรับแพ้ แล้ว ขายแค่ 5,000 จริงๆหรือ

เอาล่ะครับ ผิดกติกา หรือ ไม่ ก็ิผิดครับ แต่ครั้งนี้ ต่างกับการโดนปรับแพ้ในเทปแรกก็คือ เทปแรก คุณผิด กติการอย่างร้ายแรง ทำให้เกมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ (เหมือนกับเล่นบอล แล้วอยู่ๆ เลิกเล่น, Walkout หรือ คุณขับรถชนตำรวจ) 

แต่เทปนี้ ถือเป็นการผิดกติกาแบบ ใบเหลือง หรือ ใบแดง หรือ ขับรถฝ่าไฟแดง ซึ่ง ก็ต้องโดนหักคน หักคะแนน ตามปกติ

เงิน 5,000 นี้ ไม่ได้มาจากการมั่วนะครับ แต่มาจาก ยอดรวมของยอดขายโดยรวบรวมจาก ใบส่งของที่ทำเป็น invoice ขึ้นมา แต่ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าทีมงานเช็คยังไง

เอาล่ะครับมาถึงช่วงสุดท้ายแล้วนะครับ

ทีมนี้ที่เชียงใหม่ ถือเป็นทีมที่ค่อนข้างสมบูรณ์ คือ มีผู้บริหาร ที่ไม่ต้องลงมือทำเอง แต่แบ่งงานทำ (ฝน), มีสุดยอดนักคิดนอกกรอบ ด้านการขายและบันเทิง (ดีเจ) ด้านการสื่อสาร และ concept (พี่ติก), หน่วยติดต่อประสานงาน และควบคุม (บู๋), หน่วยคิดวิเคราะห์ (และ นำเสนอ อิอิ) (จิ๊บ) นอกจากนั้น ทีมยังมีสิ่งที่เรียกว่า ความจริงใจ และ สปิริตที่ดีมากครับ ทำให้ทีมเดินหน้าไปได้อย่างดีเยี่ยม 

ผมบอกตามตรงนะครับ เทปนี้ เป็นอีกเทปที่ถ้าถามว่าจะโหวตใครออก ผมคิดไม่ออกอีกแล้วครับ - -"

ก็จบของ ภารกิจที่ 2 เพียงเท่านี้นะครับ ภารกิจ 3 จะมาในเร็วๆนี้ อดใจรอนะครับ

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Strategic Managment Process ตอนที่ 2

สวัสดีครับ กลับมาต่อข้อมูลที่ ทิ้งไว้เมื่อคราวที่แล้วครับ มาช้าไปหน่อย

ในตอนแรกคิดว่า จะทำให้ทันก่อน เทป 2 ออกอากาศ แต่เรื่องเวลาไม่เหมาะสมจริงๆครับ ฉะนั้นวันนี้ พอจะมีเวลา เลยจัดการทำให้เสร็จสำหรับเทปแรกไปเลย โดยในเทปแรก ตอนนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.วันทำงานจริง 2. วันโหวต

วันที่ 21/3/2009 เวลาประมาณ 9.00 น.

ทีมชายแบ่งงานออกเป็น 2 ส่วนครับ คือ
1.ไปนำของมาจาก บุญรอด (น้ำสิงห์, B-ing และ POP Material) โดย จิ๊บ บู๋ และ เป้
2. ไปจัดการเรื่อง booth ให้สามารถใช้งานได้ พร้อมทันที เมื่อเริ่มมีการซื้อขายเกิดขึ้น โดย ดีเจ พี่ติก และ ดิว

นี่คือความผิดพลาด(แต่โชคดี) ที่ในตอนแรกเรามีการตั้งไว้ว่า จิ๊บ และ เป้ จะเป็นหน่วยประสานงาน แต่ดัน ถูกส่งไปอยู่กับทีมงานนำของมาจากบุญรอด ทั้งๆที่ควรจะเป็นหน่วย ติดตั้งและประสานงานด้านต่างๆ ภายใน และ ภายนอกบูท

โชคดีในความผิดพลาดนั้นคือ ได้เห็นความสามารถ ในการเจาะเข้าช่องทาง ร้านอาหาร และ ร้านค้า โดยดิวครับ

เรื่องของเรื่องคือ ดิวได้เล็งเห็นว่า ถ้าเราปล่อยให้ช่องทาง ร้านอาหาร และ ร้านค้า ถูกอีกทีมหนึ่งยึดไปล่ะก็ เราจะต้องพบกับความลำบากแน่นอน เนื่องจากทีมเรา ไม่มีนโยบายที่จะยัดสต๊อก แต่เราไม่รู้ว่าอีกทีมจะทำอย่างไร ดิวเลยเสนอว่า ขอให้มีการสลับทีมงาน หน่วยประสานงาน ให้เพิ่มเติมหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ ฝากป้าขาย (จากเดิมเป็นตัวเสริม ถูกจับเป็นตัวหลักทันที) และ CSR Campaign ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ป้าๆทั้งหลาย ไม่ได้ขายเพราะคนกว้างขวาง แค่เพียงอย่างเดียว

ส่วนอื่นๆในการทำงานในวันแรก ก็จะเป็นอย่างที่เห็นในเทป คือ ทุกคนวิ่งกันเหงื่อโทรมกาย

ช่องทางหลัก คือ หน่วยกระจายความเย็น ในตอนแรก ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม แต่ผม หรือ แม้แต่บู๋เอง รีบเกินเลยปล่อยน้องออกไปโดยที่ไม่มีการ brief น้องๆเกี่ยวกับ สินค้า มีเพียงแค่ brief คำพูดบางส่วน ที่น้องๆเองก็คงจะจำ ไม่ได้คือ พูดประมาณว่า "ขอบคุณที่ทำบุญนะครับ ขอให้เย็นกายเย็นใจ ตลอดทั้งปี" เท่านั้นเอง

อีกส่วนที่ค่อนข้างมีปัญหาคือ ถึงเราเองจะมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะให้มีน้องๆวิ่งไปวิ่งมาที่ไหน อยู่ที่ไหน แล้วนั้น แต่เราไม่สามารถติดต่อกับน้องได้ ทำให้น้องๆ หลุดหายไปในฝูงชนอยู่หลายครั้ง วิธีที่ดีที่สุดคือ วิ่งหา (หลังๆผม และ บู๋ ถึงได้มีการจดเบอร์น้องๆ และให้เบอร์น้องๆ ไปเผื่อเวลาฉุกเฉิน)

นอกจากนั้นแล้ว เราได้มีการนำ ป้าย banner หรือ ป้ายขวดน้ำสิงห์ไปไว้หน้าร้านที่นำน้ำของเราไปขาย เพื่อการบอกอีกด้วยว่า ซื้อน้ำร้านนี้ทำบุญด้วย

ในระหว่างวัน การทำงานส่วนการประชาสัมพันธ์เสียงตามสาย ทำงานไปเรื่อยๆ ทุกครึ่งชั่วโมง แต่ปัญหาคือ ไม่สามารถวัดผลได้ว่า มีประโยชน์หรือไม่

มีปัญหาอีกนิดหน่อยคือ หน้าที่ สลับไปสลับมา โดยผม ดิว และ เป้ คือ ดิวมาอยู่กับผม เพื่อไปกระจายขาย แล้ว ผมกับดิว ก็กลายเป็นคนวิ่งไปขาย ผ่านช่องทาง ฝากป้าขายด้วย ซึ่ง ฟังก์ชั่นงานออกงงๆ ทีเดียวครับ

วันแรกจบลงโดย ทีมชาย ทำยอดขายได้ประมาณ 5,000 บาท (ไม่รวมยอดจาก ฝากป้าขาย เพราะยังไม่ได้เก็บเงิน) ขายน้ำสิงห์ จาก 860 ขวด เหลือเพียง 300 ขวดเท่านั้น ดิวเอง ก็เล็งเห็นช่องทางขายเพิ่มเติมจาก วันแรกว่า ช่องทางร้านอาหาร เป็นช่องทางที่สามารถ consign และของไหลออกได้อย่างรวดเร็ว เราจึงกล้าพอที่จะสั่งเพิ่มอีกประมาณ 340 ขวด (น้ำสิงห์อย่างเดียว) นอกจากนั้น ในช่องทางร้านอาหาร เรายังเห็นอีกด้วยว่า เราสามารถนำน้ำสิงห์ ขนาดใหญ่สุดมาเพื่อขาย เพราะคิดว่า ไม่ว่าอะไรอยู่บนโต๊ะ ในร้านอาหาร คนก็เปิดเพื่อดื่มอยู่ดี

ส่วน M-150 และ Lipo ก็ถูกสั่งมาเพิ่อเติมสต๊อกให้เต็ม และ มีการสั่งโอเล่ ซีมิกซ์ มาเพื่อใช้กลยุทธ์ ที่เรียกว่า free rider คือ ทีมหญิงโปรโมทตัวนั้น เราก็เอาตัวนั้น มาติดปลายนวม

สิ่งที่ไม่ได้มีการสั่งเพิ่มเลยคือ B-Ing ของสิงห์ ซึ่ง ขายแทบจะไม่ออกเลย ขายออกแค่สีแดงสีเดียว ทำให้เราตัดสินใจไม่สั่งเพิ่ม (สีฟ้า และ สีเขียว เหลือเยอะทีเดียวครับ)

ส่วนที่มีปัญหาค่อนข้างเยอะที่ทางทีมเห็นตรงกันคือ บูธครับ ขายได้ไม่ถึง 30% (โดยประมาณ) ของยอดขายรวม ทำให้ทีม มีการกลับมานั่งคุยกัน ซึ่ง ทางดีเจ ผู้รับผิดชอบบูธเอง ก็มีการนำเสนอหลังจากมีการคุยกันว่า ในเมื่อไม่อยากเพิ่มสีสันให้กับบูธ ทำไมไม่ทำตัวให้กลมกลืนกับตลาดไปเลย คือแทนที่จะเป็น บูธเพื่อโปรโมทสินค้า หรือ จัดกิจกรรม ก็ทำให้กลายเป็น ร้านขายน้ำ หน้าทางเดินระหว่าง วัด กับ ตลาดไปเลย
เอาออกแม้กระทั่ง ลูกโป่งที่เป็นสีสันเดียวในบูธ เพื่อความกลมกลืน

ส่วน B-Ing ที่ขายออกได้ค่อนข้างยากนั้น ผมได้นำเสนอให้ทำหน่วยกระจายความเย็นหน่วยหนึ่ง (หน่วยเดียวเท่านั้น) เพื่อทำการขาย B-Ing เพียงอย่างเดียว เพราะ B-Ing ขายยากครับ ถ้าไม่อธิบายให้ลูกค้าเข้าใจ (ส่วนอีก 4 หน่วยที่เหลือ เลิกขาย B-Ing แต่ขายทุกอย่างเหมือนเดิม)

นอกจากนั้น ก็มีการกำหนดอย่างชัดเจนกันไปเลยว่า ใครทำอะไร และ ไม่ควรสลับหน้าที่กัน ถ้าไม่จำเป็น

มีการเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่างสำหรับทีมชายคือ ตอนนี้ ทีมชายได้ยกเลิกการจ้างรถตู้เพื่อขนของไป 1 คัน เพราะว่า ในตอนแรกทีมชายคิดว่า เป็นกติกา ว่าต้องใช้รถตู้จากทีมงานเท่านั้น แต่ทีมหญิงกลับเอารถขนของมาเอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทีมชายจึงได้มีการเปลี่ยนแปลง เอารถบู๋ ซึ่งเป็นรถกระบะ และ ผมได้หาคนที่ทำงานที่บ้าน มาเพื่อเป็นคนขับ ทำให้ประหยัดไปได้ร่วม 1,700 บาท (ซึ่งประหยัดช้ากว่าทีมหญิงไปแล้ว 1 วัน)

วันที่ 22/3/2009 เวลาประมาณ 9.00 น.

หน่วย ฝากป้าขาย ถูกส่งออกไปเป็นอย่างแรกเพื่อทำการจอง ร้านอาหาร ที่ตั้งใจไว้ และ ป้องกันไม่ให้ทีมหญิงเข้าเจาะไปได้ (ซึ่งเจาะทางร้านอาหารไม่ได้จริงๆ แต่ กลับไปเจาะร้านขายน้ำอื่นๆมากกว่า)

หน่วย B-Ing (ผมและบู๋ไปด้วยกัน) ถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากส่งทีมกระจายความเย็นออกทำงานแล้ว เพื่อทำการระบายของ B-Ing ให้หมด (แต่ไม่ได้ลดราคา) ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีในการระบายของออกทั้งหมด (40 ขวด) โดยหน่วยกระจายความเย็นมีการแต่งตั้งหัวหน้าสำหรับแต่ละหน่วย ที่ดูแล้วหน่วยก้านดี มีความรู้ และคุมเพื่อนๆได้

นอกจากนั้น ทางทีม ผมและบู๋ ได้มีการบอกน้องๆ ไว้ว่า ถ้าไม่จำเป็น อย่าเคลื่อนตัวตลอดเวลา เพราะเราคาดว่า วันอาทิตย์ คนจะแน่น จนลำบากที่จะเข็นของ เลยมีการทำการกำหนดจุดให้อยู่กับที่ (ซึ่งเข้าใจว่า อาจจะเป็นเหตุให้มีคนไม่พอใจเรื่องการไปบังหน้าร้าน ของผู้ที่ขายอยู่ปัจจุบันแล้ว)

หน่วย บูธ ทำงานอย่างที่วางแผนไปในตอนแรก

การทำงานเป็นไปอย่าง สบายๆ เนื่องจากทีมชายทุกคนค่อนข้างมั่นใจว่า น่าจะชนะ (ซึ่งผิดเต็มๆ) ความมุ่งมั่นต่างกับวันแรกอย่างชัดเจน

ความร้อนรนมันมาเกิดขึ้นครับ เกิดขึ้นตอน 30 นาทีสุดท้าย คือ น้ำเหลือเป็นแพ๊คอีก 7 แพ๊ค (72 ขวด) ที่ยังไม่แตก pack อีกหลายสิบขวด และ M-150 และ Lipo เหลืออีกร่วม 20 ขวด

ทางทีมถึงค่อยกลับมาปรับกลยุทธ์ ว่า ดิวและเป้ ถูกส่งไปจัดการน้ำอีก 7 แพ๊คให้ได้ (โดยไม่ได้มีการลดแลกแจกแถมอย่างที่ทางทีมงานบรรยาย เพราะ ดิวและเป้ ลดราคาเพียงแค่ 1 แพ๊ค และลดจากราคาเดิม 9 บาท (ราคาค้าปลีกปกติคือ 7) เป็น บาทเท่านั้น และนั่นเป็นส่วนเดียวที่เราลดราคา อีก 6 แพ๊คที่เหลือ ดิวสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องไปร้องขอ หรือ ยัดสต๊อกอะไรมากมาย

ส่วนทีมกระจายความเย็น ถูกแบ่งออกเป็นสองทีม คือ ทีมขายน้ำ กับ ทีมขายเครื่องดื่มชูกำลัง โดย campagin เมาไม่ขับ

ผลคือ M-150 และ Lipo เหลือ ไม่ถึง 10 ขวด และ น้ำเปล่า เหลือเพียง 60 ขวดเท่านั้น สั่งมาร่วม 1,200 ขวด

ยอดขายทั้งหมดของทีมชาย คือ 1,532 ขวด จากยอดที่ตั้งไว้เพียง 1,200 ขวด แบ่งเป็น ข้อมูลต่างๆดังนี้ครับ

ขายเองผ่านบูธ + กระจายความเย็น 833 ขวด และ ผ่านช่องทางฝากป้าขายคือ 699 ขวด
ยอดขายรวมก่อนทำบุญคือ 16,883 บาท โดนหักทำบุญไป 1,407 บาท

กำไรก่อนหักทำบุญคือ 6,174 บาท หลังคือ 5,752.5 บาท คิดเป็น 34% Margin (มาทราบทีหลังว่า มากกว่าทีมหญิง 2 เท่าโดยประมาณ และ ยอดขาย ถ้าไม่นับการหักทำบุญ ทีมชายจะมากกว่าทีมหญิง 100 บาท )

วันที่ 23/3/2009 วันพรีเซนท์ และ วันโหวต
ในวันพรีเซนท์ เราเองแทบจะไม่โดนโจมตีเลย ยกเว้นอยู่ 2-3 เรื่อง เช่น กระจายความเย็น ไม่ได้มีการ brief น้องให้ดี และ บูธ ไม่ได้วางแผนให้ดี ทำให้ต้องปรับแผน นอกนั้นผ่านฉลุย

ตอนนั้นเอง หลังจากออกมาจากห้อง เราเองค่อนข้างมั่นใจเลยครับว่า ชนะแน่ๆ เพราะเรื่องยอดขาย กำไร และ กลยุทธ์ ทางทีมเรา เชื่อกันเป็นอย่างมากว่า ทำได้เหนือกว่าในทุกด้าน

แต่เมื่อผลโหวตออกมา เป็นเสมอกัน และเป็นการเสมอกัน โดยที่ให้เหตุผลอย่างกำกวม (ในสายตาของผม) ว่า ทีมชาย strategic ดีกว่า ทีมหญิง tactic ดีกว่า (ซึ่ง tactic ที่ทีมหญิงทำได้ดีอย่างชัดเจนคือ ใช้เรื่องการจัดแพค ลดราคาน้ำเปล่านั้น ถ้ามองให้ดีๆ มันคือการ ผลักภาระ สต๊อก ออกไปให้กับคู่ค้า ซึ่ง ถ้าจะให้ทีมชายทำ ผมบอกได้เลยครับ ทำได้แน่นอน เพราะดิว กับ CSR ของเรานั้นทำได้ และ เราเลือกที่จะไม่ทำ)

และในห้องเอง ผมก็เจอเรื่อง surprise คือ ตอนนั้น ผมบอกกับกรรมการว่า ผมเชื่อว่าทีมจะชนะ คำตอบที่ได้กลับมาคือ ถ้าชนะแล้วทำไมยอดขายน้อยกว่า (ตอนนั้นยังไม่รู้ยอดขายทีมหญิง) ทำให้ผม ถึงกับงงไปเลยทีเดียว

เมื่อเกิดความกำกวมนี้เกิดขึ้น ทำให้ทีมชายทุกคน เลือกที่จะไม่โหวต

ทำไมน่ะหรือครับ สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ แต่สำหรับผม ผมไม่รู้จะโหวตใครจริงๆ เพราะทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี และ มีข้อเสียในระดับที่พอๆกัน (ยกเว้นดิว ที่ทำหน้าที่ได้ดีอย่าโดดเด่น)

ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของทีมชายคือ ขาดผู้นำ ผู้มองภาพรวม ทำให้ทีมอาจจะวิ่งไปวิ่งมาอย่างขาดความต่อเนื่อง แต่ ถ้าข้อเสียเป็นแบบนี้ จะให้เลือกเอาใครออกครับ?

ในตอนเปิดใจ ผมบอกเลยครับว่า ผมเชื่อว่าถ้าองค์กรไหนก็ตาม จะเอาคนออก แต่ไม่สามารถบอกได้ชัดเจน

องค์กรนั้น พนักงานจะทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจจะไม่ได้ทำด้วยใจ

ถ้าจะเอาออกโดยบอกว่า ลดค่าใช้จ่าย แล้ว เอาค่าใช้จ่ายมาเปิดให้ดูจริงๆ ผมรับได้ครับ ถ้าจะเอาคนออก

แต่ในเมื่อเกิด gray area แบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้องค์กรนั้น มีปัญหาด้านความเชื่อมั่น คนก็กลัวว่า แล้วจะโดนเอาออกเมื่อไหร่ เพราะอะไรก็ไม่รู้ องค์กรจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน อย่างนั้นหรือ?

ถึงเวลาสัมภาษณ์เอง ผมก็ยังคงยืนยันว่า เป้ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่หน้าที่เขาไม่เด่น จะให้โหวตเขาออก เพราะเรื่องนี้ หรือ?

แต่สุดท้าย ก็กลายเป็นเป้ ที่ถูกเอาออก แบบที่เห็น

จบแล้วครับ สำหรับภารกิจแรก รายละเอียดส่วนนี้ ไม่ค่อยมีเยอะมากเพราะ เห็นอยู่ในเทปค่อนข้างเยอะ ภาคต่อไป จะเป็นการเล่า รายละเอียดลึกๆของ การทำงานเทป 2 ที่เชียงใหม่
ฝนเก่งกว่าที่ภาพออกมาแน่นอนครับ ยังไงน่ะเหรอ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Strategic Management Process ตอนที่ 1

สวัสดีครับ ผมเป็นผู้เข้าแข่งขันเกมกลยุทธ์ ปี 2 ครับ ใครก็ตามที่ได้ดูคงสงสัยอะไรหลายๆ อย่าง วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงการทำงานในแต่ละเทป ที่ผ่านมา ซึ่งในแต่ละส่วนก็จะมีการเล่าให้ฟังถึงการทำงานจริงๆ รายละเอียด ในเรื่อง วันและเวลาที่ ชัดเจน (ถ้าจำได้) ว่า เกิดอะไรขึ้นในทีม และ ผลที่ออกมา มันเหมือนกับ เทปในรายการที่คุณดูหรือไม่ ขอให้พิจารณากันดูแล้วกันครับ
ขอเริ่มต้นที่ เทปแรก หรือ ภารกิจแรก ที่เรียกว่า Strategic Management Process หรือ ขั้นตอนในการบริหารจัดการด้านกลยุทธ์ หมายถึง การวางแผนเป็นขั้นตอนนั่นแหละครับ

20/3/2009 เวลาประมาณ 13.00 น. (ก่อนเวลาลุยตลาด 18 ชั่วโมง)

เมื่อได้รับโจทย์ทีมชาย สิ่งแรกที่ทำคือการอ่านโจทย์ให้ชัดเจน อันนี้ขอบอกครับว่า โจทย์ไม่ได้พูดอะไรถึง หลักเกณฑ์ในการตัดสิน แม้แต่นิดเดียว จริงอยู่ ที่ในห้องแจกภารกิจ ทางกรรมการ บอกว่า ยอดขาย หรือ กำไร ไม่ได้เป็นแค่สิ่งเดียวที่ใช้ในการตัดสิน แต่ อย่างน้อย ก็ควรจะบอกหลักเกณฑ์ให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่ไม่บอกหลักเกณฑ์อะไรเลย แล้วตัดสินด้วยความ abstract ว่า ใครมีขั้นตอนในการคิดดีกว่ากัน (และถ้าเป็นอย่างนั้น การตัดต่อภาพ ขั้นตอนในการคิดงาน หรือ การวางแผนมา ก็ไม่เพียงพอที่จะเข้าใจว่าแต่ละทีมมีขั้นตอนการคิดอย่างไร)

หลังจากพอจะรู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้างแล้ว (โดยที่ยังงงๆกับเกณฑ์ในการตัดสิน) ก็เริ่มงานกันครับ

ทุกคนในทีมมีการโทรศัพท์หาคนรู้จัก หาข้อมูลจาก อินเตอร์เนต นอกจากนั้นก็ยังโทรไปที่ส่วนกลางของตลาดวัดดอนหวายด้วย ว่า ตลาดดอนหวายเป็นอย่างไร มีอะไร อย่างไรบ้าง คนเดินเป็นใคร มีคนเข้าออกกี่คน เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง มีการพูดถึงสถานที่ตั้งของบูธ จนรู้ว่า

1. คนมาเพื่อหาอะไรกิน

2. มานั่งเรือไปท่องเที่ยววัดอื่นๆ

3. เป็นท่าเรือทางผ่านของทัวร์เรือ

4. มาทำบุญ ไหว้พระ

คนที่มาเป็นคนไทย 70% คนต่างชาติ 30% มาเป็นครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยที่ไม่ค่อยมีวัยรุ่นมาเที่ยวในตลาด มีรถเข้าออกในวันเสาร์อาทิตย์ประมาณ 1,000 คัน ซึ่งถ้าคิดแบบ เร็วๆ ก็คือมีคนเข้าออกตลาดประมาณ 4,000 คนต่อวัน

ตลาดมีอากาศที่ร้อน (มาก) น้ำเปล่าปกติขายขวดละ 10 บาท โดยคนซื้อน้ำ ไม่ได้ซื้อโดยตัดสินจากราคา แต่ตัดสินจากความกระหาย

สิ่งเดียวที่ไม่สามารถ หาได้อย่างชัดเจนคือ พื่นที่จริงว่า ตรงไหน มีอะไร แล้วเราอยู่ตรงไหน (ไม่เห็นภาพจริงๆครับ) ใครเดินอย่างไร เพราะด้วยเวลาที่มีอยู่ ไม่สามารถ ไปหาที่ไหนได้

หลังจากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดโดยสังเขปเพียงพอต่อการวางแผนแล้วนั้น ทางทีมก็เริ่มหาแกนไอเดียของแผนกลยุทธ์ในครั้งนี้ว่า จะทำอะไร

ซึ่งทางทีมงาน มีการวางแผนออกมาโดยยึดหลักว่า ไม่รบกวนผู้คนอยู่จนเกินไป สร้างความเข้ากันกับตลาด หรือที่เรียกว่า localize marketing

ทำให้แผนกลยุทธ์ของทีมชายออกมาเป็นดังนี้

ใช้คอนเซปต์หลักคือ เย็นแน่! สร้างเป็นแบรนด์ใหญ่ว่า ทุกๆอย่างที่เราทำ จะเกี่ยวเนื่องกับความเย็น

สินค้าที่เลือก เราตั้งยอดขายไว้ 1,200 ขวด ครับ เพราะดูจากจำนวนคนที่เข้ามา แล้วประมาณการเอาจากปริมาณที่ดีเจ เคยไปขายในงานพืชสวนโลก (คนมากกว่า ดอนหวายประมาณ 10 เท่า)
หลังจากนั้น ก็เลือกสินค้าจาก SKU ทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อให้เหมาะสมกับตลาดมากที่สุด โดยน้ำสิงห์ เป็นหัวหอกหลัก เพราะ น้ำ ช่วยดับกระหาย ยังไงๆ ก็ขายได้กับคนทุกวัย ส่วน Functional Drink จะเน้นหนักไปทาง โอสถสภา คือ M150, M-Sport, Lipo เพื่อทำให้คนที่ เหนื่อย หรือ ง่วง สามารถ ขับรถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย

มีการวางแผนการกระจาย channel ของสินค้าออกเป็น 3 ส่วน คือ

1.กระจายความเย็น (B2C) โดยเน้นหนักไปถึงความต้องการของลูกค้าที่ว่า ถ้าให้เลือกเดินไปอีก 10 เมตรเพื่อซื้อน้ำ กับ มีคนเอาน้ำมาขายตรงหน้าแล้วนั้น คนยอมจ่ายแพงกว่า เพื่อให้คนเอาน้ำมาขายตรงหน้า โดยเราไม่ได้มองแค่การเดินไปมั่วๆขายเพียงอย่างเดียว แต่มีการกำหนดจำนวนคน จำนวนจุดขาย ดูเรื่องเวลาว่า flow ของคนว่า ในช่วงเวลานั้นๆ อยู่ที่ไหน แล้ว มีการปรับเปลี่ยนจำนวน และ สถานที่ตามความเหมาะสม เช่นกลางวัน จะไปแถวร้านอาหาร และท่าน้ำ ตอนบ่ายแก่ๆจะเน้น ไปที่จอดรถ

2.การขายผ่านบูธ (B2C) โดยมีการจัดกิจกรรมมากมาย อาทิเช่น โอเล่ ผสมโซดาสิงห์ มินิคอนเสิร์ต พริตตี้

3. ร้านขายน้ำ/ร้านอาหาร (B2B) ในละแวกนั้น โดย campaign ที่เรียกว่า ฝากป้าขาย โดยเราจะไม่มีการ ยัดสต๊อกให้กับร้านค้าแถวนั้น เพื่อประโยชน์ด้านยอดขาย แต่ เราจะฝากหรือที่เรียกว่า consignment กับทางร้านค้า ไม่หมดไม่เป็นไร แต่เน้นหาวิธี เข้าไป observe ว่า เหลืออะไรเท่าไหร่และ พยายามโยกสต๊อกไปยังร้านที่ขายดี (อันนี้ต้องยอมรับว่า ตอนแรก ไม่ได้มองถึงกลยุทธ์ตรงนี้เป็นกลยุทธ์หลัก มองแค่เป็นช่องทางเสริมจาก 2 ช่องทางแรกเท่านั้น)
ส่วนกลยุทธ์ด้านราคา เรามองไปถึง 2 ด้านคือ

1. ขายราคาที่ตลาดแถวนั้นกำลังขายอยู่ นั่นคือ เฉพาะน้ำเปล่า ขวดละ 10 บาทครับ (บางอย่างขายแพงกว่าด้วย เช่น ลิโพขวดละ 15 M-Sport ขวดละ 15 บาท)

2. เน้นราคาที่เป็นราคาที่ง่ายต่อการทอน คือลงท้ายด้วย 5 หรือ 0 โดยไม่ได้ตาม retail price ที่โจทย์ให้มา

แล้ววางราคาออกมาอย่างชัดเจน ในเทปอาจจะเห็นว่า ทีมชายไม่ได้เตรียมเรื่องราคามา แต่จริงๆแล้ว เตรียมมาหมดครับ (มี ป้ายราคาบอกในทุกหน่วยขาย) แต่ตัวราคาที่ ว กันไปถามนั้น คือราคาของตัวที่ ติดมา เพราะในโจทย์บอกไว้ว่า ต้องมี SKU ทั้งหมด กี่ตัว ทำให้เราต้องสั่งอะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะกับตลาดมาเพื่อ ทำตามกติกา แล้วเราก็ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่า มันจะขายได้หรือขายไม่ได้ ซึ่งคนที่มาซื้อ คือคนรู้จักของพวกเราเอง (และมีครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวที่มีปัญหาเรื่อง ไม่รู้ราคากัน นี่คือพลังของการตัดต่อครับ)

ส่วนการสื่อสารกับลูกค้า เรามี 2 แคมเปนจ์ใหญ่ๆครับคือ

1. ง่วงไม่ขับ อันนี้มีแนวคิดมากจากที่ว่า เมื่อคนขับรถกลับบ้าน หลังทานอาหารที่ตลาดแล้ว ก็จะเกิดอาการง่วง เราก็เลยมีการทำป้าย ติดไม้ เอาไว้ถือโปรโมท
2. เย็นใจได้บุญ อันนี้เป็นแนวคิดมาจากว่า คนมาวัดเพื่อมาทำบุญ และ คนในพื้นที่เองก็อยากทำบุญ ทางเราเลยมองออกมาว่า เราจะทำการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่ง (ซึ่งมาจากกำไร) ไปให้กับทางวัดเพื่อใช้ในโอกาสต่างๆ (ตอนแรกเรามองว่าจะใช้แคมเปนจ์นี้เฉพาะช่วงเวลา แต่วันจริงกลับเปลี่ยนแผนครับ)

โดยการสื่อสาร เราจะเน้นการสื่อสารผ่านช่องทาง เสียงตามสายที่มีการประกาศอยู่แล้วของวัด (เป้ติดต่อล่วงหน้าไปแล้ว) เพื่อที่จะให้คนที่สัญจรไปมาได้ทราบ และ นอกจากนั้น เสื้อของทีมจะเป็นสีฟ้า บ่งบอกถึงความเย็น โดยมีการติดคำว่า เย็นแน่ ข้างหน้า และ ไม่เย็นไม่ขาย ข้างหลัง เอง ก็เหมือนเป็น Brand identity ที่ดีในการที่จะสร้าง กำแพงขวางระหว่างทีมชาย และ ทีมหญิง เพื่อให้ทุกคนรู้ว่า ซื้อกับทีมชาย นอกจากเย็นกายจากน้ำเย็นๆ แล้ว ยังเย็นใจจากบุญที่ได้ทำอีกต่างหาก

ยังไม่หมดครับ อันนี้ไม่ได้มีอยู่ในเทป แต่เราเอง ก็คิดถึงเรื่อง การรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งก็คือ การที่ ในหน่วยขายเอง เราจะมีการติดถุงดำ ไว้กับตัวของน้องๆ เพื่อที่จะทำการเก็บขวดน้ำ และ ขวดแก้ว ที่ดื่มหมดแล้ว เพื่อรักษาความสะอาดอีกด้วยครับ และเงินที่ได้จากการขายขวด ก็จะนำไปทำบุญด้วยเช่นกัน

หลังจากวางแผนใหญ่กันเป็นแกนเรียบร้อยแล้ว เราก็มีการแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ว่าใครจะดูอะไร โดยมีการวางแผนกันว่า ผม และพี่ติก ดูเรื่องพรีเซนต์ บู๋ และ ดีเจ ดูเรื่องหาคน เป้ ดูเรื่องประสานงานด้านต่างๆ กับทาง supplier (ต้องยื่นใบสินค้า ใบเบิก POP และติดต่อเรื่องรถ ก่อน 4 โมงเย็น) และ หลังจากเสร็จสิ้นก็ไปร่วมกับดิว ในการหาอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เสื้อ ลูกโป่ง กล่องโฟม (โดยสิ่งของบางอย่างเช่น โทรโข่ง สติกเกอร์ และป้ายไม้ เย็นใจได้บุญ กับ ง่วงไม่ขับ ดีเจได้ติดต่อประสานงานกับร้านต่างๆไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน)

นอกจากนั้นแล้ว หลังจากพรีเซนต์ ทางทีมชายก็ได้กลับมาเตรียมการอย่างต่อเนื่องคือ การแบ่งงาน โดยในตอนแรก มีการแบ่งงานหน้าที่รับผิดชอบออกเป็นส่วนๆดังนี้
1. ฝ่ายบูท และ สื่อสารส่วนกลาง มีพี่ติก กับ ดีเจ เป็นหัวหอก
2. ฝ่ายทีม กระจายความเย็นตามที่ต่างๆ คือ ดิว และ บู๋
3. ฝ่ายทีมประสานงาน และ ฝากป้าขาย คือ จิ๊บ และ เป้


ถือเป็นความโชคดีของทีมชายอย่างหนึ่งคือ บู๋ ได้มีการติดต่อไปยัง เพื่อนที่เคยเข้ามาสมัครเกมกลยุทธ์ ที่เข้ารอบก่อน คัดเหลือ 12 คน ที่ชื่อ หมูปิ้ง ครับ และแน่นอน คนนี้ ทางทีมหญิงเอง ก็เคยเจอ หมูปิ้ง มาแล้วเหมือนกัน ฉะนั้น จะบอกว่า บู๋ ใช้คอนเนคชั่นส่วนตัว ก็ไม่ถูกนัก เพราะเป็นคอนเนคชั่นที่ ทั้งสองทีมมีเหมือนกัน เพียงแต่ทีมชาย ดึงมาใช้ เท่านั้นเอง

โดยหมูปิ้งเอง เป็นคนแถวตลาดดอนหวาย ทำให้ได้รู้จักกับทีมงานผู้ดูแลตลาด และ สามารถช่วยหาคนที่เป็นชายมาช่วยงานได้ ถึง 10 คน ในเวลาแค่คืนเดียว (ซูฮก) โดยเรามีการให้ค่าจ้างด้วยนะครับ ไม่ได้ขอให้มาใช้กันฟรีๆ

โดยทางพี่ผู้ดูแลเอง ก็เห็นด้วย เป็นอย่างมาก กับแคมเปนจ์ที่เราคิดกันถึงเรื่อง การนำรายได้ส่วนหนึ่งบริจาคเข้าวัด ทำให้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี (เรียกได้ว่า ไม่ได้ใช้แต่คอนเนคชั่นเพียงอย่างเดียว)

สำหรับข้อเสียที่คิดว่าควรจะปรับปรุงมีดังนี้ครับ สำหรับวันในการคิดกลยุทธ์
1. อันนี้ต้องยอมรับครับว่า การเตรียมการสำหรับบูธนั้น ค่อนข้างอ่อน และ ขาดรายละเอียดที่ดีจริงๆ (คิดกิจกรรมเพียบ แต่ไม่ได้ทำจริง) คิดแต่การตลาดเชิงรุก แต่ดันลืมคิดถึงเรื่องเชิงรับ)
2. ขาดผู้นำทีมครับ เนื่องจากเห็นว่า ต่างคนต่างทำงานกันได้อย่างลงตัว แต่ดันลืมไปว่า เวลา execute จริงแล้ว ถ้าไม่มีคนมองภาพใหญ่ มีแต่ตายกับตาย
3. ทั้งทีมขาดการวางแผนในการหาคน ทำให้เสียทีมงานไป 2 คนที่จะสามารถมาคิดเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญกว่าได้ ถือว่าโชคดีครับ ที่บู๋โทรไปติดต่อทางหมูปิ้ง ทำให้ได้น้องๆ มาตามแผน
4. ลืมมองไปเรื่องว่า จะบรีฟสินค้าน้องๆ กับ เรื่องคำพูดต่างๆ ให้น้องๆได้อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งสำคัญมากใน channel นั้นๆ

สำหรับวันเตรียมงานก็จบลงเท่านี้ครับ ผมจะมาต่อเรื่อง วันทำงานจริงๆ ทั้งสองวัน และ ความรู้สึกหลังจากผ่านเรื่องราว ในเทปมาแล้วให้ฟังครับ